ทุกปีวันที่ 1 เมษายน เรียกว่า ‘April Fool’s Day’ เป็นวันเทศกาลคนโง่ ที่ถือเป็นวันสนุกสนาน กับการล้อเลียน ด้วยการสร้างเรื่องหลอกกัน ในประเพณีตะวันตก ปัจจุบัน มีวงการแต่งเรื่อง ใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เข้าใจผิดกันมากมาย จนไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ ว่าอะไรผิดถูก ผู้ที่ไม่มีจุดยืนอย่างมั่นคง ต้องถูกเขย่าหรือตกภายใต้อิทธิพลของกระแสคลื่นความคิดที่เป็นลบ เกินกว่าใครจะสร้างกระแสจิตที่เป็นบวก มาทัดทานหรือทดแทนได้ ในขณะเดียวกัน ทางด้านจิตวิญญาณก็มีการทวนกระแสที่เป็นลบด้วยการสร้างกระแสจิตของความคิดที่เป็นบวก บนพื้นฐานของสัจจะ เพื่อเอาชนะเกมชีวิตที่ทำให้ผู้คนติดกับอยู่ในความหลอกหลวง เป็นการปลุกให้ตื่นจาก ‘ภวังค์’ เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่นักปราชญ์และกูรูมากมาย รวมทั้งผู้ที่ทรงปัญญามากที่สุด ในบรรดาผู้รู้ทั้งหลายได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเราส่วนใหญ่กำลังมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวทย์มนต์ที่หลอกลวง เปรียบเช่นผู้ที่อยู่ในโลกของความฝัน ที่พูดว่า "เขาไม่มีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับ 'ความจริงแท้' ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร มีความรู้สึกอย่างไร” จริงหรือไม่ว่าเรากำลังหลับใหลอยู่ขณะที่ลืมตา? เหมือนคนเดินละเมอมาตลอดชีวิต หากเป็นเช่นนี้สิ่งใดจะบ่งชี้ถึงการตื่นรู้? ถึงแม้เราเชื่อว่าเช้านี้เราตื่นแล้ว แต่ดูราวกับว่า เรากำลังหลับอยู่ ไม่ใช่การหลับที่ไม่รู้ตัวในช่วงกลางคืน แต่เป็นการหลับขณะที่ตื่นอยู่ในสภาวะที่ถูกครอบงำ ซึ่งต้องอาศัยเวลาและการฝึกฝนสำนึกรู้ในตนเองที่จะ 'ตื่น' จากความหลอกลวง และความเชื่อทั้งหลายที่เก็บสะสมไว้ในชีวิต ที่ทำให้รู้สติน้อยลง อย่างไรก็ตาม เรามีชีวิตอยู่ในการหลับใหลเช่นนี้เรื่อยมา เราได้วางรูปแบบความคิดและพฤติกรรมอยู่บนฐานของความเชื่อและความหลอกลวงมาอย่างเหนียวแน่น การตื่นและการอยู่อย่างตื่นรู้ จึงหมายถึง การมองทะลุผ่านความหลอกลวงและการตระหนักรู้ได้ถึงความเชื่อที่ยึดถือมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราปลุกสำนึกรู้ที่ลึกล้ำขึ้นมา ได้รู้ว่าสิ่งใดคือ ความจริงเท่านั้นจึงจะเกิดความคิดความรู้สึกและพฤติกรรมใหม่ ความหลอกลวงบางอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะเหตุใดเราจึงไม่เคยเห็นมาก่อน บางอย่างก็ยากจะเห็นเพราะเราได้ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าสิ่งนี้ว่าเป็นจริง เราจะตื่นหรือหลับใหลอยู่ก็มีเพียงเราเท่านั้นที่รู้ความจริงเกี่ยวกับตนเอง ลองพิจารณาอาการที่บ่งบอกถึงผู้ที่เดินละเมอมาตลอดชีวิต 1. Stress Projection การโทษผู้อื่นอย่างแรง กลไกทางจิตที่ตึงเครียด เกิดจากการหลับใหลต่อความจริง ที่ว่าความคิด ความรู้สึกของเราเป็น ผลของการตอบรับ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบ หรือเป็นความสามารถในการตอบรับ(response-ability)ของเราต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ผู้ตื่นแล้วย่อมมีความรับผิดชอบอย่างสมบูรณ์ ต่อความคิด อารมณ์ ทัศนคติ การกระทำของตนเองเสมอ 2.Self Comparision การเปรียบเทียบตนเอง เมื่อไรก็ตามที่เราเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น หมายถึงขาดการตระหนักรู้ในความพิเศษและคุณค่าของตนเอง ผู้ตื่นแล้วย่อมรู้ค่าของตนเอง และสามารถยืนหยัดในคุณค่าของตนเอง โดยไม่ต้องเลียนแบบที่จะเป็นเหมือนใคร แต่จะเพิ่มพลังความสามารถและปลุกศักยภาพที่แท้จริงของตนเองให้ตื่นขึ้นมา 3.Controlling Behavior พฤติกรรมบีบบังคับ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพยายามจะควบคุมบังคับ หรือหาวิธีจัดการกับผู้อื่น หรือแม้กระทั่งไม่พอใจผู้ใด นั่นหมายถึง เราเชื่อภายในจิตใต้สำนึกว่าเราสามารถควบคุมสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้เลย ผู้ตื่นแล้วจะไม่ฉกฉวยโอกาสเวลาเห็นคนเดินละเมอ เขามองเห็นวิธีที่จะปลุกผู้อื่นให้ตื่น โดยที่ผู้นั้นไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือเสียหาย 4. Emotional Indulgence การหมกหมุ่นทางอารมณ์ ในภาวะที่เราหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ที่จะมองหาสิ่งกระตุ้นเพื่อปลุกความรู้สึกต่อสิ่งนั้น เช่น ชอบโต้แย้งแล้วทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา หรือ ชอบพูดถึงการสูญเสียหรือการทำผิดของตนเอง แล้วจมอยู่กับความทุกข์ และอดีต ผู้ตื่นแล้วจะตัดใจจากการเสพติด การพึ่งพิงและภาวะอารมณ์ต่างๆ ด้วยการเรียนรู้ที่จะเลือกและสร้างอารมณ์ ในละครชีวิตนี้ โดยสรุป เมื่อตื่นแล้วเราจะไม่ปล่อยให้ตนเองมัวเมาหรือสนุกสนานกับการเล่นกับสิ่งจอมปลอมที่ทำให้ตนเองรู้สึกสบายใจ คิดว่าอยู่ในหนทางของการตื่นรู้ด้วยปัญญา แต่กลับมองไม่เห็นปัญหาและการตกเป็นทาสหรือเป็นทุกข์ ที่ต้องวกวนสับสนอยู่ในเขาวงกตของความไม่รู้ เป็นทางตันที่หาทางออกไม่ได้ ปัญหาชีวิตจึงบานปลายทับทวีมีผลกระทบต่อกันทั้งโลก (รวบความคิดจาก Br.Mike) แบ่งปันประสบการณ์: -ป้าวัลภา (คลิก) -น้องกอล์ฟ (คลิก)
น้องเหมียวแบ่งปันประสบการณ์
TOWER OF PEACE บริเวณที่นั่งโยคะตอนเย็น ได้เชื่อมโยงกับพ่อสูงสุด "ชีวา" ด้วยความรักจากกระแสพลังของความสงบ กระจายออกไปเพื่อรับใช้โลก BABA'S ROCK ภูเขาที่บาบาได้เคยพาลูกๆ ไปนั่งสมาธิ ชมพระอาทิตย์ตกดินและทิวทัศน์ที่สวยงาม เรายังสัมผัสบรรยากาศของครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุขจากความรักที่บาบามีต่อลูก... พาลูกไปยังที่สูงด้วยจิตสำนึกที่สูง เพื่อปกป้องลูกให้ปลอดภัย จากการมองเห็นโลกภายใน ภายนอก ด้วยตาที่สาม PEACE PARK จัดนิทรรศการไว้ให้ประชาชนได้ชมทุกวัน ประทับใจในหอประวัติศาสตร์ ที่แสดงวิถีชีวิตและผลงานของผู้ที่เป็นเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทำงานรับใช้โลกให้เกิดสันติและหลอมรวมจิตใจของมวลมนุษยชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
พี่ภาให้ความหมายของคำว่า ผู้ใหญ่หรือซีเนียร์ ...ในทางจิตวิญญาณ (คลิก) การเข้าใจบทบาทของตนเอง-และการรู้ว่าต้องทำอะไร? ขณะนี้เราแสวงหาสถานภาพและการยอมรับนับถือ เรามักลืมสถานภาพดั้งเดิมของดวงวิญญาณ เราลืมคำสอนหลักที่ให้มั่นคงอยู่ในสภาพความเคารพตนเอง (Self-Respect) เมื่อคำนึงถึงความเคารพ (Respect) โดยไม่รู้จักตนเอง (self) ก็กลาย เป็นความหลงทะนง ความผิดพลาดอยู่ที่คำคำเดียว จึงมีความผิดพลาดอื่นๆ ตามมา เมื่อต้องการความเคารพจาก ผู้อื่น คำพูด พฤติกรรม กิจกรรม ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะคำเดียวนั้นถูกตัดไป ทำให้ดวงวิญญาณถูกตัดออกจาก สภาพที่แท้จริง จงสร้างสภาพของตนเองที่เอื้ออำนวยให้ความเคารพตนเองพัฒนาไปด้วยการเข้าใจบทบาทของตนว่าต้องทำอะไร เพียงแต่มีความปรารถนาดีสำหรับทุกคน และทำให้ตนเองมั่นคงเข้มแข็งอยู่ในสภาพดั้งเดิม ก็จะไม่มีร่องรอยของความหลงทะนง 'ใครมีความหลงทะนง'? ผู้ที่มีสติปัญญาหยาบ เมื่อได้รับความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็จะหลงทะนงตน เปรียบกับ เกมบันไดงูที่เราปีนป่ายบันไดของความหลงทะนงขึ้นไปแล้วงูกัดก็ตกลงมา ที่ชีวิตต้องผจญกับความเจ็บช้ำ ผู้ที่หลงทะนง ยืนอยู่บนฐานของความหลอกลวงตนเอง ทำให้มองโลกในแง่ร้าย ที่กลายเป็นความขุ่นมัว ตึงเครียด ก้าวร้าว โกรธ แสดงถึงแรงต้านต่อการเปลี่ยนแปลง จึงใช้เวลานานในการแก้ไขปัญหา การชนะสภาวะจิตที่ไม่เป็นมิตร กับตนเองและผู้อื่น นั้นต้องอาศัยการวางเฉยต่อความเคารพและการประณาม กล่าวกันว่า เอาชนะตัณหาราคะ ท่านจะกลายเป็นราชาโยคี เอาชนะความหลงทะนง ท่านจะกลายเป็นดวงวิญญาณที่สูงส่งและรู้แจ้ง
แม่ปุ้ม แบ่งปันประสบการณ์จากการเข้าอบรม "มีความเข้าใจและเห็นตนเองมากขึ้นและยอมรับธรรมชาติของมนุษย์ ที่คนเราเกิดมาย่อมแตกต่างกันจากการเรียนรู้และประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาในอดีต..เราจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นที่จะเสริมปมเด่นหรือปมด้อยของเราอีกต่อไป แต่ตระหนักได้ว่า...การหันกลับเข้าสู่ความเงียบสงบภายใน ด้วยการสำรวจตรวจสอบตัวตนที่แท้จริง ทำให้เราสามารถสัมผัสการ "รู้ค่าในตนเอง" ด้วยตนเอง...ไม่ใช่จากการยอมรับจากบุคคลอื่น ไม่ว่าสถานการณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ตาม เราสามารถที่จะรับฟังเสียงปัญญาภายในตัวเรา ที่ช่วยแก้ปัญหาที่ฝังลึกอยู่ภายในได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่จากการพึ่งพิงผู้อื่น... ด้วยการกลับคืนสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของเราคือการมีสำนึกเป็น "ดวงวิญญาณ" เท่านั้น ที่เราจะสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งสูงสุดด้วยความรัก..ที่ทำให้เราได้รับพลังทางจิตวิญญาณ ในการช่วยเยียวยาบาดแผลและรอยกรรมที่ไม่บริสุทธิ์ให้จบสิ้นลง และสร้างเสริมความมั่นใจและความมั่นคงให้เกิดขึ้นภายในจิตใจ..นำมาสู่การรู้ค่าและเคารพตนเองได้อย่างแท้จริง" น้องปุ๋ยแบ่งปันประสบการณ์จากการมีส่วนช่วยอบรม "เพราะเหตุใด การอบรม True Self-Esteem จึงเหมาะกับผู้ที่ศึกษาด้านจิตวิญญาณ? การศึกษาด้านจิตวิญญาณเป็นการศึกษาเกี่ยวกับตนเอง เพื่อให้เห็นและเข้าใจตนเองอย่างลึกล้ำตั้งแต่ต้นจนจบ หลายต่อหลายครั้งที่เราพบว่าชีวิตนี้ช่างมีปัญหาและอุปสรรคมากมายซะเหลือเกิน ไม่สามารถหาทางออกได้ และไม่สามารถปล่อยวางได้ บางครั้งการแก้ปัญหาหนึ่งนำไปสู่อีกปัญหาหนึ่งที่ซับซ้อนมากขึ้น ถึงเวลาแล้วไหมที่เราจะกลับเข้ามาสนใจตัวตนภายใน เพื่อตระหนักรู้และยอมรับว่าเรานี้เองเป็นผู้สร้างทุกสิ่งในชีวิตขึ้นมาด้วยตนเองทั้งสิ้น ไม่ว่าดีหรือร้าย นี่คือกฎแห่งการกระทำ จะเสียใจ ทุกข์ใจ หรือกล่าวโทษผู้อื่นไปใย หากไม่ลุกขึ้นมารับผิดชอบชะตากรรมของตนเองด้วยการเปลี่ยนแปลงและสร้างชีวิตในวิธีใหม่ True Self-Esteem หมายถึง การชื่นชมและรู้ค่าตนเองอย่างที่ "เราที่แท้จริง" เป็น ไม่ใช่เราที่สร้างเอกลักษณ์ภายนอกปลอมๆขึ้นมา หรือ เราที่ผู้อื่นมองจากภายนอกว่าเราเป็น ด้วยการตระหนักรู้ว่าเราคือจิตวิญญาณที่งดงาม เป็นรูปธรรมแห่งความดีงามดั้งเดิม ความเคารพตนเองที่ถูกต้องได้เกิดขึ้น การชื่นชมและรู้ค่าตนเองจึงไม่ใช่เรื่องของรูปร่างหน้าตา ความรู้ ความสามารถ หรือการมี-การเป็นอะไรแต่ภายนอกอีกต่อไป และในเมื่อหัวใจของเราไม่ได้ผูกพันกับสิ่งที่มีขีดจำกัดเหล่านี้ทั้งหมด จะมีอะไรอีกหรือที่ทำให้หัวใจของเราแตกร้าว สูญเสียความเชื่อมั่น และความพอใจไปได้
|