ความเป็นเพชรของดาดี้เป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูด เราไปที่นั่น เพราะหลายคนตัดสินใจไปฉลอง 100 ปีของดาดี้ โดยเฉพาะน้องใหม่ เมื่อไปถึงที่นั่นรู้สึกอบอุ่นสวยงาม สะอาดสะอ้านเป็นการตอบรับด้วยความรักและความเป็นพี่น้อง ทุกระบบที่จัดเตรียมไว้ เหมือนที่มธุบัน ตั้งแต่ลงทะเบียน เข้าพักหรือภายในห้องพักที่ เรารู้สึกมีความสุข สดชื่น อบอุ่น โดยเฉพาะเช้าวันที่เราออกมาตั้งแถวต้อนรับดาดี้ทีด้าน หน้า อาคาร ทุกคนตื่นเต้น 3 วันที่นั่นได้รับประโยชน์และรับพลังจากดาดี้ ซีเนียร์ และพี่น้องทุกคนได้เรียนรู้ในการอยู่ร่วมกัน ขอบคุณบาบา ขอบคุณละคร (พี่ศรี)
ฉันเคยได้ยินเรื่องราวที่ใครๆ ต่างก็พูดกันว่าพวกเขารักดาดี้ และนี่เป็นสิ่งที่เชิญชวนให้ฉันอยากรู้จักกับดาดี้ ไม่ใช่เพียงแค่การรู้จักเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพราะฉันอยากสัมผัสความรักของบาบาผ่านดาดี้ด้วยเช่นกัน ฉันสัมผัสได้ถึงสายตาที่มีพลังแม้จะอยู่ในร่างกายที่ไม่แข็งแรงก็ตาม หัวใจของฉันเป็นสุขในการรับฟังเรื่องของบาบาและความรู้ ดาดี้เป็นตัวอย่างของความสำเร็จทุกรูปแบบ เป็นตัวของความรักและความรู้ เป็นโยคีที่ง่ายดาย เป็นธรรมชาติ สูงส่ง ท่านให้ความใส่ใจในการเติมเต็มพวกเราอย่างมาก ฉันมองเห็นบาบาผ่านดาดี้ ราวกับท่านเป็นกระจกสะท้อนบาบา, สะท้อนให้เห็นความสูงส่งของดาดี้ และสะท้อนให้เห็นว่าตัวฉันเองเป็นอย่างไรในเวลานี้ และฉันควรจะเป็นเช่นไรในอนาคต...ฉันอยากเป็นภาพลักษณ์ที่เปิดเผยบาบาเช่นดาดี้ ฉันขอเป็นอีกคนหนึ่งที่จะพูดว่าฉันรักดาดี้ (B.K.Pui)
![]() พี่เอ๋ พี่นุ้ก พี่เก๋
กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณได้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1936 โดยประชาบิดาบราห์มา ผู้ก่อตั้งบราห์มา กุมารี มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก ปัจจุบัน ดาดี้แจงกี ทำหน้าที่ผู้นำในการกระทำและคุณธรรมที่สูงส่ง โดยมีผู้นำทางจิตวิญญาณจากทุกศาสตร์ ทุกศาสนา ในแต่ละอารยธรรม ร่วมฉลองความเป็นเพชรตามบทบาทและความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตนเอง จนกระทั่งเวลาสุดท้าย... การแสดงจากประเทศไทยได้ให้ความสำคัญแก่ช้าง สัตว์ประจำชาติ ด้วยการเชิญธงไทยสมัยช้างเผือก และกล่าวถึงผู้นำด้านจิตวิญญาณ เรียกว่ามหารตีผู้ขี่ช้างนำทัพ บ่งชี้ถึงความสุขุม รอบคอบ หนักแน่น มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความพอใจของทุกฝ่าย เราเปิดการแสดงด้วยการรำ จาก 4 ภาค เหนือ-กลาง-อิสาน-ใต้ แล้วมารวมกันเพื่อเต้นท่าช้าง (Elephant Dance) กับชาวอินเดีย
การศึกษาคือการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายในการกลับมาบริสุทธิ์สมบูรณ์ ดังนั้น การเอาชนะประสาทสัมผัสทั้ง 5 หรือการเอาชนะกิเลสทั้ง 5 ขึ้นอยู่กับคุณภาพในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เป็นลบ ให้กลายเป็นบางสิ่งที่ให้คุณประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ผู้เปลี่ยนแปลงที่มีคุณภาพ คือผู้ที่สามารถเปลี่ยนกำแพงของแรงต้านให้เป็นสะพานของความเข้าใจ และข้ามพ้นอุปสรรค์ต่างๆไปใด่ ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำให้ความสงสัยของมังกรที่เป็นอัมพาต กลายเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง และทำให้ความคิดว่าเป็นไปไม่ได้ หายไปจากจิตใจ ผู้เปลี่ยนแปลงที่มีคุณภาพ ย่อมล่วงรู้ถึงการปฎิสัมพันธ์ของมนุษย์ ที่ขึ้นอยู่กับคลื่นใต้น้ำของชีวิต ในรูปของทัศนคติ ความคิด และความรู้สึก ถ้าภายในจิตใจแผ่ซ่านไปด้วย มีความไม่พอใจ ความโกรธ ความเห็นแก่ตัว แม้จะแสดงออกภายนอกด้วยความสุภาพ ความร่วมมือที่มาจากเปลือกหุ้มของขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมปลอมๆ ในที่สุดจะทำให้ เกิดความเดือดร้อน เสียหาย และเสียความสัมพันธ์ ตรงกันข้าม เมื่อคลื่นใต้น้ำนั้นดีมีความเป็นบวกในการดำรงชีวิต โดยไม่ติดอยู่กับคำพูด การกระทำ หรือบทบาท แต่อยู่ที่ความคิดและกิจกรรมที่มีผลต่อการฝึกจิต สร้างความมั่นใจ ให้ชีวิตมีความสามารถสร้างสรรค์ โดยมีความสงบ-เงียบ เป็นพลังหลักในการขับเคลื่อน กระบวนการเปลี่ยนแปลง ราชาโยคะ และชัยชนะเหนือประสาทสัมผัส
การฝึกจิตคือความพยายามที่จะพบตัวตนที่แท้จริงที่มีเอกลักษณ์ของ ‘ฉันคือใคร’ เมื่อได้ตระหนักรู้ ก็จะเติมเต็มตนเองและกำหนดทิศทางชีวิตของตน สิ่งนี้เรียกว่าจิตสำนึกของ ‘ฉันเป็น’ ที่ออกมาจากภาวะของการฝึกจิต เมื่อมีการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ว่า ‘ฉันเป็นอะไร’ แทนที่จะอยู่กับอดีตหรืออนาคตว่า ‘ฉันเคยเป็น’ หรือ ‘ฉันจะเป็นอะไร’ การเตือนตนเองถึงสภาวะนั้น เราใช้คำว่า “โอม” หมายความว่า “ฉันคือดวงวิญญาณ” เอกลักษณ์ทางจิตที่เป็นเหมือนกุญแจที่ไขไปสู่จิตสำนึกของมนุษย์ เมื่อเราพบตัวตนที่แท้จริง เราจะมีสำนึกรู้ถึงวิธีคิดและวิธีเป็นของตัวตนปลอมๆที่ได้เกาะกุมชีวิตเรามายาวนาน เมื่อเราเข้าใจตัวตนที่ล่อลวง(ได้ถึงขนาดนี้?) เราจะเริ่มขบวนการที่จะปลดแอกผลกระทบในทางลบที่มีต่อตนเอง ตัวตนที่ล่อลวงเกิดมาจากความอยากปรารถนา ซึ่งแม้จะได้รับการตอบสนอง ก็ไม่ได้เพิ่มคุณค่าชีวิตหรือไม่ได้คิดรู้ค่าตนเอง ความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นขบวนการที่เกิดในทางตรงกันข้าม ขอให้เราตรวจสอบดูว่าสิ่งล่อลวงทั้งหลายทำให้เรามีคุณค่าที่ผิดๆในชีวิตอย่างไร
เมื่อมีการตระหนักถึงความอ่อนแอ เราจะต้องใช้ยาอะไรหรือที่จะนำดวงวิญญาณกลับคืนสู่สภาพของการมีพลานามัยดี? การเอาชนะความหลงทะนงเราต้องมีความถ่อมตนและความซื่อสัตย์ เราต้องมีความกล้าหาญที่จะมองดูตนเองอย่างซื่อสัตย์และรู้ว่าลักษณะของการคิดว่า “ฉันรู้” “ฉันควบคุม” นี้คงมีอยู่และต้องถูกขจัดออกไป เมื่อมีสัจจะและความสุข เราจำเป็นต้องจดจำภาวะดั้งเดิมว่า ‘ฉันคือใคร’ ที่เรียกว่า จิตสำนึกของ “โอมชานติ” ฉันคือความสงบ,ผู้มีชีวิตทางจิต,นี่คือเอกลักษณ์ที่แท้จริงของฉัน ในการที่จะดับความโกรธเราต้องใช้อะไร ความสงบและความสงบเงียบ ที่จะเข้าใจว่าความสงบคือสภาพดั้งเดิมของชีวิตที่จะจดจำว่าฉันคือผู้ที่สงบ หมายถึงการทำให้จิตสำนึกของความไม่รุนแรงก้าวร้าวปรากฏขึ้นมา ความสงบเงียบคือการเรียนรู้ที่จะใช้เบรคให้กับจิตใจและลิ้น ช่วยเราให้คิดก่อนที่พูด ผลตามมา ทำให้เราปลอดภัยจากการต้องเผชิญหน้ากับใครหรืออะไรในภาวะนั้น การเอาชนะความผูกพันยึดมั่น จำเป็นต้องอาศัยการละวาง นั่นคือ ช่องว่างระหว่างตัวเองกับอารมณ์ที่รุนแรงของความอยากปรารถนา และช่องว่างระหว่างตนเองและผู้อื่น เราจำเป็นต้องมีพื้นที่ของความเคารพ ที่จะเข้าใจว่าความก้าวหน้าหรือ การค้นพบตัวตนที่แท้จริงนั้นเกิดจากอิสรภาพภายใน โดยไม่ขึ้นอยู่กับใคร และแล้วเราจะมีประสบการณ์ของการเป็นไทไม่พึ่งพิง นั่นคือ ความปราณี ความรัก และการโอบอุ้มผู้อื่น แต่อยู่เหนือการพึ่งพิงใดๆในเวลาเดียวกัน การเติมช่องว่างที่เกิดมาจากความละโมบ ดวงวิญญาณต้องเข้าใจพลังของความใจกว้างที่แท้จริง การกระทำที่เอาแต่ได้ เป็นโรคภัยของความอยากที่เห็นแก่ตัวและกลายเป็นนิสัยที่ดวงวิญญาณคิดว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์กับผู้อื่น แม้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็ไม่เป็นธรรมชาติ ข้อพิสูจน์ของสิ่งนี้ คือ ความเจ็บปวด ความทุกข์ ความไม่พอใจที่ผู้คนส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในชีวิต ความใจกว้างหมายถึงการให้แก่ตนเอง โดยตระหนักรู้ในคุณสมบัติดั้งเดิมทางจิตวิญญาณของตน นำออกมา แบ่งปันกับผู้อื่นอย่างเป็นธรรมชาติ การขจัดไฟของตัณหาราคะ ดวงวิญญาณต้องใช้ยาของความเคารพ ที่ใดมีความเคารพที่จริงใจสำหรับผู้อื่น ที่นั่นจะไม่ทำให้เสียอารมณ์ ด้วยความเคารพ ความสมดุลและความสอดคล้องกลมกลืนจะทำให้ประสาทสัมผัสและวิญญาณเยือกเย็นลง เป็นการดูแลเอาใจใส่ที่ทำให้เราเห็นใจผู้อื่นจริงๆ ความรู้สึกกับการคงอยู่ของผู้อื่นว่าเขาเป็นอย่างไร ในภาวะที่เป็นไทกับตนและเป็นผู้ที่มีค่า ไม่ใช่เป็นการใช้ในทางที่ผิดทั้งด้านอารมณ์ หรือทางด้านร่างกายด้วยการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ราชาโยคะหมายถึงเป็นราชาในตนเอง ด้วยการเอาชนะตนเองเช่นนี้ ที่เราสามารถตระหนักได้ แล้วใช้ทรัพยากรหรือยาที่เป็นอมตะ บ่อยครั้งที่เราไม่สามารถเปิดล็อคได้และตระหนักรู้ว่ายาจากภายในและการเชื่อมโยงกับแหล่งแห่งพลังงานสูงสุด นั้นคือสิ่งที่จำเป็นการฝึกจิตคือการเชื่อมโยงกับพระเจ้า เพื่อนำพลังงานบวกในตนเองออกมาใช้ (จากหนังสือบราเตอร์แอนโทนี่ อดีตผู้ประสานงานประเทศกรีก แม้ได้ละร่างไป แต่ประสบการณ์ชีวิตกลายเป็นอมตะด้วยพลังโยคะ) |